วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

อาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

อาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

 1. นักเขียนโปรแกรม (Programmer)
          เมื่อนักวิเคราะห์ระบบปฏิบัติงานเสร็จสิ้น  ก็จะส่งต่อมายังผู้ที่ชำนาญในเรื่องของการเขียน 
โปรแกรมโดยเฉพาะเพื่อสร้างระบบงานนั้นออกมาใช้งานได้จริง ๆ เราเรียกชุคลากรกลุ่มนี้ว่า 
นักเขียนโปรแกรม หรือ Programmer โปรแกรมที่มีขนาดเล็กมา (เหมือนกับการสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ) 
 อาจใช้นักเขียนโปรแกรม เพียงไม่กี่คน  และสร้างเสร็จได้ภายในเวลาไม่กี่วัน  แต่หากโปรแกรม
มีขนาดใหญ่มาก (เปรียบเทียบได้กับการสร้างบ้าน  ตึก หรืออาคารขนาดใหญ่)  นักเขียนโปรแกรม
เพียงคนเดียวไม่เพียงพอสำหรับการเขียนชิ้นงานนั้น  หน่วยงานบางแห่งจึงต้องมีทีมงานจำนวนมาก
เพื่อรองรับกับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว วิธีการเขียนอาจแบ่งกลุ่มโปรแกรมออกเป็นส่วนย่อย ๆ  
ที่เรียกว่า  โมดูล (Module)  แล้วกระจายงาออกไปให้กับแต่ละคน   จากนั้นจึงจะนำเอาโมดูลที่ได้กลับมา
รวมกันเป็นโปรแกรมใหญ่อีกหนึ่ง   จะช่วยลดเวลาในการเขียนโปรแกรมลงไปได้มาก


  6.  ผู้ดูแลเน็ตเวิร์ก (Network Administrator)
          หรือผู้มีหน้าที่ดูแลและบริหารระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร  มักเกี่ยวข้องกับ 
ลักษณะงานหลัก ๆ ทางด้านเครือข่ายโดยเฉพาะ เช่น การติดตั้งระบบเครือข่าย การควบคุมสิทธิผู้ที่
จะใช้งาน  การป้องกันการบุกรุกเครือข่าย เป็นต้น
           ผู้ทำหน้าที่นี้จะต้องมีความชำนาญเกี่ยวกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีและต้องมี 
ทักษะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที  เพราะหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 
เหล่านั้นได้แล้ว  อาจส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อองค์กรได้ก็ต้องสามารถหาวิธียับยั้งการบุกรุกโจมตี
ต่าง ๆ นั้นให้ได้โดยเร็ว  ไม่เช่นนั้นแล้วข้อมูลที่เป็นความลับหรือมีความสำคัญกับงานของบริษัท
อาจถูกทำลายหรือนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่เสียหายต่อองค์กรได้  อีกกรณีหนึ่งเช่น  เมื่อเกิด
ปัญหาของไวรัสนั้นแพร่กระจายอยู่ในเครือข่ายขององค์กร  ผู้ดูแลเน็ตเวิร์กต้องสามารถหาทาง
แก้ไขปัญหามาให้ไวรัสนั้นแพร่กระจายหรือลดการกระจายให้น้อยที่สุด  โดยแจ้งวิธีปฏิบัติงานให้
ผู้ใช้ในองค์กรทราบว่าควรทำอย่างไร  เพื่อจะไม่ให้เกิดผลเสียหายที่ร้ายแรงต่อการปฏิบัติงานในองค์กร เป็นต้น


วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเภทของสื่อการเรียนรู้

                          คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
                         หมายถึง(Computer Assisted Instruction) หรือ ซีเอไอ (CAI) มีผู้สรุปความหมายไว้คล้ายคลึงกันหลายความหมาย ดังต่อไปนี้....คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับสื่อการสอนอื่น ๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะดีกว่าตรงที่ตัวสื่อการสอน ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นฝ่ายป้อนคำถาม 


                         ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1. บทเรียน (Tutorial) 
เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
ที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นส่วนย่อย ๆเลียนแบบการสอนของครู

2. ฝึกทักษะและปฏิบัติ (Drill and Practice)
ส่วนใหญ่ใช้เสริมการสอน ลักษณะที่นิยมกันมากคือ การจับคู่ ถูก-ผิด
เลือกข้อถูกจากตัวเลือก

3. จำลองแบบ (Simulation)
นิยมใช้กับบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้เห็นจริงได้

4. เกมทางการศึกษา (Educational Game)
5. การสาธิต (Demonstration) 
นิยมใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

6. การทดสอบ (Testing) เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน

7.  การไต่ถาม (Inquiry) 
ใช้เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด

8. การแก้ปัญหา (Problem Solving) 
เน้นการให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ
9. แบบรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วย (Combination) 



                                          ตัวอย่าง


วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
.




                                โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนจะมีความสำคัญต่อโครงงานนั้น ๆ การแบ่งขั้นตอนของการทำโครงงานอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงานและการวางแผนการทำโครงงานในที่นี้จะบ่งการทำงานออกเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้
1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจทำ
โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่าง ๆ จากการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นักเรียนสามารถจะศึกษาการได้มาของเรื่องที่จะทำโครงงาน การอ่านค้นคว้า การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยาย รายการวิทยุโทรทัศน์ สนทนาอภิปราย กิจกรรมการเรียนการสอน งานอดิเรก การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- จะต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
- สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องได้
- มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
- มีเวลาเพียงพอ
- มีงบประมาณเพียงพอ
- มีความปลอดภัย
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
รวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิช่วยจะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดของเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความรู้เพิ่มเติมในเรื่งที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสมในการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว นักเรียนจะต้องบันทึกสรุปสาระสำคัญไว้ด้วย
จะต้องพิจารณาดังนี้ มูลเหตุจูงใจและเป้าหมายในการทำ วัสดุอุปกรณ์ ความต้องการของผู้ใช้งานและคุณลักษณะของผลงาน (Requirement and Specification) วิธีการประเมินผล วิธีการพัฒนา ข้อสรุปของโครงงาน ความแปลกใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ แนวทางในการปรับปรุงหรือขยายการทดลองจากงานเดิม
3. การจัดทำเค้าโครงของโครงงานที่จะทำ จำเป็นต้องกำหนดกรอบแนวคิดและวงแผนการพัฒนาล่วงหน้าเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของโครงงาน ขั้นตอนที่สำคัญคือ ศึกษาค้นคว้าเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบการพัฒนา เสนอเค้าโครงของโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำและปรับปรุงแก้ไข
4. การลงมือทำโครงงาน เมื่อเค้าโครงได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้ เตรียมการ ลงมือพัฒนา ตรวจสอบผลงานและแกไข อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาโครงงานในอนาคต
5. การเขียนรายงาน เป็นสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวความคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมาให้ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ
6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน เป็นการนำเสนอเพื่อแสดงออกถึงผลิตผลของความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีที่ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจในโครงงานนั้น ในการเสนออาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น ติดโปสเตอร์ การรายงานตัวในที่ประชุม การแสดงผลงานด้วยสื่อต่าง การจัดนิทรรศการ การอธิบายด้วยคำพูด
ที่มา
มานพ ทะชัยวงค์. สนุกกับโครงงานคอมพิวเตอร์ กรุงเทพฯ :ไอดีซี,2547
ยุทธศักดิ์ สินธุพงศ์.คอมพิวเตอร์สร้างสรรค์ (โครงงานคอมพิวเตอร์) [ออนไลน์].เข้าถึงเมื่อ 16 พฤษภาคม 2554.

อ้างอิง : http://www.montfort.ac.th/mcs/dept/computer/computer/02139/02139.html

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงานเรื่อง  เกมเพื่อการเรียนรู้สำหรับคนพิการ

โครงการเพื่อพัฒนาเกมการเรียนรู้สำหรับผู้พิารทางสายตานี้ จัดทำขึ้นเพื่อวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์เกมแบบใหม่ที่เหมาะสมสำหรับผู้เล่นที่ ตาบอด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนตาบอดได้มีทางเลือกในการทำกิจกรรมที่สร้างความ บันเทิงเพิ่มมากขึ้น ซอฟต์แวร์ที่พัฒนานี้ จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากซอฟต์แวร์เกมทั่วไป คือ ใช้เสียงเป็นส่วนประสานกับผู้ใช้เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า Audio game แต่จะเสริมการเเสดงผลในหน้าจอภาพด้วย เพื่อให้ผู้เล่นทั่วไปสามรถเล่นได้ด้วย และลักษณะของเกมที่จะเลือกนำมาพัฒนาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเกมประเภทเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังจะพิจารณาไปถึงเกมประเภทที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมสูงสุดอีกด้วย

แหล่งอ้างอิง http://www.vcharkarn.com/project/view/645

สรุป   

คนตาบอดก็ควรจะได้รับความสนุกสนาน ความบันเทิง โดยโครงงานนี้ได้ วิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์เกมแบบใหม่ที่เหมาะสมสำหรับผู้เล่นที่ ตาบอด มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากซอฟต์แวร์เกมทั่วไป คือ ใช้เสียงเป็นส่วนประสานกับผู้ใช้เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า Audio game แต่จะเสริมการเเสดงผลในหน้าจอภาพด้วย นอกจากจะเป็นเกมประเภทเพื่อความบันเทิงแล้ว


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของโครงงานคอมพิวเตอร์

การทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานจะมีคุณค่าต่อการฝึกฝนให้นักเรียนมีความรู้ ความชำนาญ และมีความมั่นใจในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเองและยังมีคุณค่าอื่น ๆ อีกดังต่อไปนี้


1.พัฒนาผู้ทำโครงงาน 1. สร้างความสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง 2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่นักเรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ 4. ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน 5. กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิชาสาขาคอมพิวเตอร์ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้ 6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์

2.พัฒนาสังคม 7. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิว เตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น 8. เป็นการบูรณาการเอาความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับมาจัดทำผสมผสานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นโครงงานเพื่อนำเสนอต่อชุมชน

3.พัฒนาประเทศชาติ 9. ทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี 10. เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ
การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์นั้น นักเรียนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เหตุผลที่ใช้ในการแก้ปัญหา กระบวนการแก้ปัญหา หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเริ่มทำโครงงาน และใช้ความรู้ดังกล่าวเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ในโครงงานคอมพิวเตอร์ โดยในการทำโครงงานนักเรียนอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับความรู้ใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ฐานข้อมูล (Database) และการสืบค้นข้อมูล (Information Retrieval) เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหัวข้อที่นักเรียนเลือกทำโครงงาน

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โครงงานคอมพิวเตอร์

1.ความหมายและคุณค่าของโครงงานคอมพิวเตอร์
                       
                เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านนี้มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยี ของคอมพิวเตอร์ จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์  เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลง โลกของเราในด้านต่างๆ มากมาย

2.ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
                     
                     คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุกสาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายทั้ง ในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และประโยชน์หรือผลงานที่ได้ โครงงานคอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ในที่นี้

แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
1.             โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media Development)
2.             โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
3.             โครงงานจำลองทฤษฏี (Theory Simulation)
4.             โครงงานประยุกต์ใช้งาน (Application)
5.             โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)